ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Why the affair does not work

Why the affair does not work.

The main reason seems to come from the fact that we do not set clear goals.

We need to set clear goals that we have to run the affair.

The affair has set a goal to work ... as a long-term goals.

According to target ... ... must be divided into three levels.

Mao's long-term goal .. and ... medium ... short.

Long-term goals.

In the next 3-5 years we will be running the affair.

How to ... be working with the Ministry designated to be unimproved.

Then he announced during the exam ... I look for things that will help us achieve that goal.

I work as a Permanent Secretary to the Affair.

The event ... volunteering ... of municipal work .. I also volunteered to help.

Medium-term goals.

What we will accomplish in 30 days, and long-term goals.

For example ... is the official position of the Secretary of DOA.

I read 10 books of law.

Our goal is to achieve the goal of running our affair.

30 days after you finish reading a law book.

Short-term goals.

What must be accomplished within 1-2 days or weeks. We only need to define what can be done. Within the limited time available. And should aim to make sense, as if reading the 200 pages in two hours. Obviously, the goal is very difficult. And two hours and still have time to read the 200 pages we are frustrated and tense up immediately.

"I was happy that his targets are. He knows what to do. And will be happy when they achieve the desired goals ".
How to target a useful way. What we can do is to make it easy to order early. So that we can achieve these goals. And relaxation. Do not get stuck on a daily or weekly basis. It also helps to strengthen the morale of the more difficult to do well.

เป้าหมายการทำงานราชการ

ทำไมเราถึงสอบเข้าทำงานราชการไม่ได้

สาเหตุหลักน่าจะมาจากการที่เราไม่กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน

เราจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราจะต้องทำงานราชการให้ได้

การกำหนดเป้าหมายว่าจะทำงานราชการให้ได้...เป็นการกำหนดเป้าหมายระยะยาว

ตามหลักการ...การกำหนดเป้าหมาย...ต้องแบ่งเป็น 3 ระดับ

ได้แก่..เป้าเหมายระยะยาว...ปานกลาง...สั้น

เป้าหมายระยะยาว

ใน 3-5 ปีข้างหน้าเราจะทำเป็นทำงานราชการให้ได้

จะทำงานราชการให้กับกระทรวงไหน...กำหนดให้ชัดเจนลงไปเล้ย

จากนั้นระหว่างรอเขาประกาศสอบ...ให้มองหาว่ากิจกรรมไหนที่จะช่วยเราบรรลุเป้าหมาย

เช่น อยากทำงานราชการตำแหน่งปลัดอบต.

เมื่อมีกิจกรรม...จิตอาสา...ของงานเทศบาลก็อาสาไปทำ..อาสาไปช่วย

เป้าหมายระยะกลาง

สิ่งที่เราจะทำให้สำเร็จภายใน 30 วัน และต้องสนับสนุนเป้าหมายระยะยาวด้วย

ตัวอย่างเช่น...จะสอบทำงานราชการตำแหน่งปลัดอบต.

ต้องอ่านหนังสือวิชากฎหมาย 10 เล่ม

เราก็ต้องเป้าหมายเพื่อบรรลุเป้าหมายในการทำงานราชการของเรา

30 วันหลังจากนี้จะอ่านหนังสือกฎหมายทั่วไปให้จบ 1 เล่ม

เป้าหมายระยะสั้น

เป็นสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จภายใน 1-2 วันนี้ หรือสัปดาห์นี้ ซึ่งเราต้องกำหนดเฉพาะสิ่งที่สามารถทำได้ ภายในระยะเวลาอันจำกัดที่มีอยู่ และควรสมเหตุสมผล เช่น ถ้าตั้งเป้าหมายว่าจะอ่านตำราให้ได้ 200 หน้า ภายในเวลาสองชั่วโมง เห็นได้ชัดว่าเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ยากมาก และถ้าเวลาผ่านไปสองชั่วโมงแล้วยังอ่านไม่ได้ 200 หน้า เราก็จะรู้สึกหงุดหงิดและเครียดขึ้นมาทันที

"คนที่มีความสุขรู้ว่าเป้าหมายของเขานั้นคืออะไร เขารู้ว่าต้องทำอะไร และจะมีความสุขที่สุดเมื่อเขาบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ"

วิธีกำหนดเป้าหมายที่มีประโยชน์อย่างยิ่งวิธีหนึ่ง คือกำหนดสิ่งที่เราสามารถทำสำเร็จได้ง่ายไว้ลำดับต้นๆ เพื่อที่เราจะได้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ และเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่อะไรติดค้างในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างกำลังใจในการทำเรื่องที่ยากขึ้นไปได้เป็นอย่างดี

งานราชการอยากสอบได้ต้องทำไง

การจะสอบเข้าทำงานราชการ เราต้องกำหนดเป้าหมายไว้แล้วว่าจะทำงานราชการให้ได้ และถึงแม้ว่าเรากำหนดเป้าชัดเจนแล้วว่าจะสอบเข้าทำงานราชการให้ได้ มันก็อาจไม่สำเร็จดังที่เราตั้งใจไว้ก็ได้ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ไม่สำเร็จมีดังนี้ครับ

เรียกว่า ปัจจัย WISE มี 4 ข้อ

W ความมุ่งมั่น

I การริเริ่ม

S ความอดทน

E ความกระตือรือร้น

เป็นวิธีการที่ดีซึ่งนำมาใช้เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายในการสอบเข้างานราชการได้ง่ายขึ้น



1. W (Willpower) ความมุ่งมั่นที่จะต้องสอบทำงานราชการให้ได้

เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้วจะต้องทำให้สำเร็จ ขอเพียงมีความมุ่งมั่นและความเชื่อเช่นนี้จึงจะบรรลุเป้าหมายได้และต้องสอบเข้าทำงานราชการให้ได้

2. I (Initiative) ลงมือทำทันทีโดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลาที่อยากทำ

ไม่ต้องรอให้มีเวลาว่าง ไม่ต้องรอเงื่อนไขที่เหมาะสม ถ้าเป้าหมายมีความสำคัญแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ ก็ไม่ควรเยิ่นเย้อ ควรตัดสินอย่างเด็ดขาดแล้วลงมือทำทันที

3. S (Stamina) คือความอดทนที่จะทำให้ถึงที่สุด

อย่าคาดหวังว่าจะทำได้สำเร็จในเวลาสั้นๆ ต้องมีความอดทนเพื่อทำให้สำเร็จทีละขึ้นทีละตอนเมื่อประสบความสำเร็จไป เรื่อยๆ พลังแห่งความสำเร็จจะทำให้บรรลุเป้าหมายได้ในที่สุด

4. E (Enthusiasm) ความกระตือรือร้นและกุลีกุจอ

ไม่ว่าเป้าหมายจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ถ้าเราไม่ชอบเสียอย่าง เมื่อพบอุปสรรคจะยิ่งทำให้ยอมแพ้ได้ง่ายๆ ดังนั้น ถ้าคิดจะทำให้สำเร็จ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องรักในสิ่งที่ทำ


แค่ทำตามนี้คุณก้สามารถสอบเข้าทำงานราชการได้แล้วครับ

งานราชการต้องเตรียมตัวให้พร้อมถึงจะได้

1. เตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมสำหรับการสอบ การสอบแข่งขัน การสอบคัดเลือก การคัดเลือกในภาคราชการมีระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการสรรหาบุคคลเข้ารับงานราชการด้วยระบบคุณธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการสอบข้าราชการ จึงต้องเตรียมความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน คือ

1.1 จัดหาเอกสารหรือหนังสือสำหรับเตรียมสอบงานราชการ วิธีการหาหนังสือหรือเอกสารเตรียมสอบ มีดังนี้
หนังสือหรือเอกสารมีเนื้อหาที่ตรงตามหลักสูตรสอบแข่งขันฯ มีเนื้อหาสาระใหม่ ทันเหตุการณ์ปัจจุบัน
เลือกหนังสือทั้งที่เป็นเนื้อหาโดยละเอียด เนื้อหาสรุปและหรือหนังสือที่เป็นแบบฝึก
เลือกหนังสือหลายๆ เล่ม เจ้าของหรือผู้แต่งที่เชื่อถือได้
ควรเลือกหนังสือภาคความรู้ทั่วไป เช่น หนังสือวัดความถนัดต่าง ๆ เป็นตั้น พร้อมทั้งมีตัวอย่างแบบฝึกและข้อสอบ
ควรเลือกหนังสือเฉพาะเรื่อง ในภาคการศึกษา เช่น จิตวิทยาการศึกษา เทคโนโลยีการศึกษาหลักสูตรและการสอน เป็นต้น ส่วนมากจะมีในสถาบันการศึกษา และหนังสือเตรียมสอบทั่วไปซึ่งส่วนมากจะเป็นเนื้อหา โดยสรุป
ภาคกฎหมายการศึกษาหรือกฎหมายปฏิบัติงานราชการ หนังสือที่เหมาะคือหนังสือเตรียมสอบโดยทั่วไปเพราะมีทั้งเนื้อหาโดยละเอียดและสรุปไว้แล้ว มีตัวอย่างแบบ ทดสอบให้ทำด้วย
ภาควิชาเฉพาะวุฒิหรือวิชาเอก ควรเลือกหนังสือ ตำราเรียน หนังสือสรุปเนื้อหา หรือหนังสือเตรียมสอบเข้าเรียนระดับชั้นต่างๆ ไม่ควรยึดหนังสือเตรียมสอบฯเป็นหลักเพราะเนื้อหามีน้อย
หนังสือรวมข้อสอบฯ หรือหนังสือที่มีตัวอย่างข้อสอบให้ฝึกทำ ก็เป็นสิ่งจำเป็นควรมีไว้เพื่อฝึกทักษะการทำข้อสอบ เพื่อเป็นการทบทวนความรู้

1.2. วิธีการอ่านหนังสืออย่างไรให้จำได้เร็ว เทคนิคการอ่านหนังสือ มีดังนี้
ศึกษาหลักสูตรการสอบแข่งขันฯ ให้เข้าใจและจัดหมวดหมู่ของเนื้อหา หนังสือ
ภาคความรู้ความสามารถทั่วไป ควรศึกษาโดยวิธีฝึกทำข้อสอบ ดูเฉลยและทำความเข้าใจ เรื่องไหนที่ยากควรทำจุดสังเกตไว้ในหนังสือหรือบันทึกสรุปวิธีการหรือหลักการหาคำตอบไว้ในสมุดบันทึกใช้ทบทวนใน คราวต่อไป
วิชาการศึกษา ควรศึกษาเป็นเรื่องๆ ตามกรอบหลักสูตรสอบฯโดยใช้หนังสือหรือเอกสารหลายๆเล่มประกอบกัน ทำจุดสังเกตไว้ในหนังสือ หรือสรุปเนื้อหาไว้ในสมุดบันทึก ใช้ทบทวนในคราวต่อไป
วิชาเอกหรือวิชาเฉพาะวุฒิ ควรศึกษาในสองลักษณะ คือ ลักษณะการจัดการเรียนการสอนวิชานั้นและเนื้อหาสาระของวิชานั้นๆ ในประเด็นสำคัญ สรุปและบันทึกสาระสำคัญเอาไว้ ฝึกทำข้อสอบวิชานั้น ๆ
ควรวางแผนในการศึกษาหรืออ่านหนังสือทั้งในเรื่องสถานที่ เวลา เนื้อหาวิชาตามความถนัดและความสะดวกของตนเอง เวลาที่เหมาะสำหรับอ่านหนังสือที่บ้านควรจะเป็นตอนเช้าประมาณ 04.00 -06.00 นาฬิกา
นอกจากการศึกษาเอกสารแล้วสื่อเอกสารอย่างอื่นก็เป็นสิ่งจำเป็น เช่น การพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน การสอบถามหรือปรึกษากับครู อาจารย์ หรือผู้รู้ฯ การเข้ารับการอบรมสัมมนา(ติวสอบฯ) เป็นสิ่งจำ เป็น เพื่อรู้ความ เคลื่อนไหวปัจจุบัน
การติดตามความเคลื่อนไหวทางการศึกษา สังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากเพราะเนื้อหาเหล่านี้จะกำหนดในหลักสูตรสอบฯ และออกข้อสอบทุกครั้ง

1.3. วางแผนในการสอบอย่างไรให้ได้ผล ควรวางแผนการสอบตั้งแต่การเดินทาง การเข้าที่พัก การไปดู สนามสอบหรือห้องสอบ การทำข้อสอบและการเดินทางกลับ ดังนี้
ควรออกเดินทางไปถึงสถานที่หรือภูมิภาคสอบฯ อย่างน้อย 1วัน เพื่อจะได้มีเวลาพักผ่อน ไปดูสนามสอบฯ
เตรียมเอกสาร วัสดุ อุปกรณ์ หรือของใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง สิ่งที่จะลืมไม่ได้ คือ บัตรประจำตัวผู้เข้าสอบฯ ปากกา ดินสอ และยางลบ (ใช้สำหรับฝนหรือระบายข้อสอบ) ยารักษาโรคประจำตัว(ถ้ามี) และหนังสือ หรือสรุปย่อเนื้อหาที่ได้จัดทำไว้แล้ว
คืนก่อนสอบ ให้ทบทวนเนื้อหาตามหลักสูตรสอบฯ เล็กน้อย หลังจากนั้นให้รีบเข้านอน
ในวันสอบ หลังจากภารกิจส่วนตัวเรียบร้อย ควรไปถึงสนามสอบก่อนเวลาสอบ อย่างน้อย 1 ชั่วโมง
ก่อนถึงเวลาสอบประมาณ 5-10 นาที ควรตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง เข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัวให้เรียบร้อย
เมื่ออยู่ในห้องสอบให้ปฏิบัติตามระเบียบของการสอบ หรือตามที่กรรมการคุมห้องสอบชี้แจง ให้ตั้งสติ ให้ดี มีสมาธิและวางแผนการทำข้อสอบ

1.4. การบริหารจัดการระหว่างทำข้อสอบกรณีข้อสอบเป็นปรนัย (ชนิดตัวเลือก)
การบริหารเวลาในการสอบโดยตรวจสอบเวลาที่จะใช้ในการทำข้อสอบ แล้วคำนวณระยะเวลาในการทำข้อสอบ (โดยปกติมาตรฐานข้อสอบจะใช้เวลาทำข้อละ 1 นาที )ให้ชำเลืองดูนาฬิกาขณะทำข้อสอบเป็นระยะ ทำข้อสอบทีละ ข้อ โดยอ่านคำถามและทำความเข้าใจอย่างละเอียด
กรณีข้อสอบที่ต้องใช้วิธีคำนวณหรือจำเป็นต้องขีดเขียนเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ให้ขีดเขียนลงในกระดาษคำถามได้ (อย่าใส่ใจกับข้อห้ามที่บอกว่าห้ามขีดเขียนใดๆ ลงบนข้อสอบเกินไปนัก)
เมื่อทำข้อสอบครบทุกข้อแล้ว หากยังเหลือเวลาอย่าเพิ่งรีบออกจากห้องสอบให้กลับมาทบทวนข้อที่ยากหรือยังทำไม่ได้
หากใกล้หมดเวลาสอบแล้วยังทำไม่เสร็จ หรือข้อสอบจำนวนมาก ให้ใช้วิธีการเดา

1.5. การบริหารจัดการระหว่างทำข้อสอบกรณีข้อสอบเป็นอัตนัย (อธิบาย)
ตรวจสอบดูว่าข้อสอบมีกี่หน้า คำถามครบทุกข้อหรือไม่ และอ่านคำชี้แจงให้เข้าใจ โดยเฉพาะประเด็นให้ทำกี่ข้อ
ให้ทำข้อที่ง่ายก่อน วางกรอบหรือทิศทางของคำตอบว่าจะตอบอะไรก่อนหลัง ควรอธิบายให้ชัดเจน กะทัดรัด แต่ตรงประเด็นมากที่สุด ไม่ควรบรรยายแบบน้ำท่วมทุ่ง เพื่อให้ได้คำตอบมากๆ ครบจำนวนหน้ากระดาษ เท่านั้น และควร เขียนอย่างบรรจง ประณีตที่สุดเท่าที่จะทำได้

1.6. การปฏิบัติตัวหลังจากสอบเสร็จ ควรทำใจให้สบายถ้าหากเรามั่นใจและเตรียมตัวมาอย่างดี เราต้องสอบได้แน่ๆ หากเป็นเวลาพักเที่ยงควรรีบไปรับประทานอาหารกลางวันให้อิ่มและ พักผ่อน หรือถ้า ไม่มีสอบแล้วให้กลับไปพักผ่อนและเตรียมตัวสอบในวันถัดไป

2. เทคนิคการเลือกคำตอบที่ ถูกของงานราชการ

2.1. เทคนิคการเลือกคำตอบข้อสอบภาคความรู้ความสามารถทั่วไปของงานราชการ คือ ต้องรู้ หลักการ วิธีการคิด สูตรทางคณิตศาสตร์หรือ พีชคณิต การฝึกทำข้อสอบประเภทนี้บ่อยๆ จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ทำให้รู้ จำ และ เข้าใจหลักการ วิธีการคิด หรือสูตรการคิดได้อย่างรวดเร็วและจะทำเกิดความมั่นใจในที่สุด

2.2 เทคนิคการเลือกคำตอบข้อสอบภาคความสามารถเฉพาะตำแหน่ง ลักษณะคำถาม 20 ประเภท ของข้อสอบภาคความสามารถเฉพาะตำแหน่ง โดยสรุปพอสังเขป ได้แก่
คำถามเกี่ยวกับพระบรมราโชวาท พระราชดำรัส แนวพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์
คำถามเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวหรือแนวโน้มใหม่ทางด้านการศึกษา
คำถามเกี่ยวกับความรอบรู้ (ความเคลื่อนไหวทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจและการปกครองและการต่างประเทศ)
คำถามที่เกี่ยวกับ มติหรือนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้มีในหลักสูตรการสอบแข่งขันหรือการคัดเลือก ข้าราชการ
คำถามเกี่ยวกับนโยบายหรือโครงการของกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
คำถามเกี่ยวกับ หลักการ แนวคิด ทฤษฎีหรือสาระสำคัญ หลักการ ของเรื่องนั้นๆ
คำถามเกี่ยวกับ วัน เวลา จำนวน สถานที่หรือ ตัวเลข
คำถามเกี่ยวกับ บุคคล หน่วยงาน องค์กรที่ตนเองปฏิบัติงาน หรือหน่วยงานต้นสังกัด
คำถามที่มีคำว่า ไม่ ไม่ใช่ ผิด ไม่ถูกต้อง แตกต่างไปจากพวก หรือยกเว้น
คำถามที่เป็นมีศัพท์ภาษาอังกฤษ หรือสำนวน ให้แปลความ หรืออธิบาย
คำถามที่มีประเด็นคำถามหลายประเด็นในข้อเดียวกัน
คำถามที่ถามถึงขั้นตอนการดำเนินงานหรือกิจกรรมต่างๆ
คำถามที่ถามถึงประเด็นที่สำคัญที่สุด
คำถามที่มีตัวเลือกถูกทุกข้อ หรือถูกหลายข้อ
คำถามวิเคราะห์ เช่น ความเข้าใจและการนำไปใช้, หลักการ หรือนิยามศัพท์, ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน, สาระตามข้อบัญญัติของระเบียบหรือกฎหมาย, เป้าหมาย ผลลัพท์ หรือผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา, ถ้อยคำ วลีที่เป็นตัวชี้วัด ของประเด็นคำถาม

3. เทคนิคในการเข้าสอบสัมภาษณ์ การสอบสัมภาษณ์และการให้ คะแนน จะพิจารณาในด้านต่างๆ ดังนี้
ประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน (ถ้ามี) ประสบการณ์การทำงาน (ถ้ามี)
บุคลิกภาพด้านต่างๆ รวมทั้งอุปนิสัยของผู้ที่จะเข้ารับงานราชการเป็นข้าราชการครู
ท่วงทีวาจา ปฏิภาณไหวพริบ ของข้าราชการ
คุณธรรม จริยธรรม และเจตคติ ของข้าราชการ
ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ของข้าราชการ
ความรู้ในเรื่องการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
อื่นๆ ตามหน่วยงานผู้สอบฯกำหนด

งานราชการสำหรับพยาบาล


สำหรับวันนี้ก็มีข่าวด่วนสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานราชการนะครับ
ทำงานราชการกับโรงพยาบาลลพบุรีครับ
ทำงานราชการในตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ
พอดีไปค้นคำว่า "งานราชการ" แล้วเจอเขาประกาศสมัครงาน
ก็เลยเอามาฝากครับ


ผมสรุปย่อยๆๆง่ายๆสั้นๆสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาแต่อยากทำงานราชการได้อ่านครับ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี..เปิดสอบเข้าทำงานราชการ
ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ ระดับ ปฏิบัติการ จำนวน 7 อัตรา
รับสมัครตั้งแต่ 20 - 24 กุมภาพันธ์ 2555
เงินเดือนอยู่ที่ 9,140 - 9,690 บาทไทย
คุณสมัติ มี 4 ข้อครับดังนี้
1.จบปริญญาตรีสาขาวิชาพยาบาลศาตร์และต้องมีใบประกอบวิชาชีพพยาบาล
2.จบปริญญาโทที่เทียบเท่าปริญญาตรีสาขาวิชาพยาบาลศาตร์และต้องมีใบประกอบวิชาชีพพยาบาล
3.จบปริญญาเอกที่เทียบเท่าปริญญาตรีสาขาวิชาพยาบาลศาตร์และต้องมีใบประกอบวิชาชีพพยาบาล
4.มีปริญญาอื่นที่ ก.พ.กำหนดว่าใช้เป็นคุณสมบัติเฉพาะในตำแหน่งนี้ได้

ว่าแต่ถ้าไม่จบปริญญาสาขาวิชาพยาบาล..แล้วจะมาทำงานราชการตำแหน่งนี้ได้ไง...งงครับ

Plan to reduce obesity

จากบทความที่แล้ว..เรื่อง..โรคอ้วน:ปัญหาของนักวิชาการสาธารณสุข(อยากหล่อ)
ผมได้วางแผนการลดน้ำหนัก...ซึ่งเรื่องเป็นภาษาอังกฤษว่า...Plan to reduce obesity

โดยผมได้วางแผนดังนี้ครับ
1.กินอาหารตามปกติและไม่แตะเครื่องดื่มมึนเมา...สำเร็จครับ
2.ออกกำลังกายโดยการปั่นจักรยาน 10 km..ทำสำเร็จครับ
แผนของผมอาจจะดูง่ายนะครับ...แต่สำหรับผม...สภาพอากาศหนาวจัดแบบนี้
ทำได้ตามแผนที่วางไว้...ผมว่าผมสุดยอดแล้วครับ

วันแรกของการปฏิบัติการ...ลดความอ้วนของผม...เริ่มเมื่อวันศุกร์ที่ 17/02/2555
เวลาประมาณ 17.00 น. อากาศหนาวเย็น...เย็นถึงขั้วหัวใจเลยครับ
ผมต้องใช้ความพยายามอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อนในชีวิต...จับจักรยานไปปั่น
ผมปั่นออกไปได้ประมาณ 1 kg ผมก็รู้สึกเหนื่อยมากเลยครับ
พอเหนื่อยผมก็พยายามนึกถึง...โดมครับ...เพราะคิดว่าถ้าผอมจะหล่อเหมือนโดม
หลังจากปั่นได้ครบ 10 km ...ข้าวเย็นยังไม่อยากแตะเลยครับ...เหนื่อยโคตร

วันที่ 18/02/2555 ลมแรงมาก..ผมต้องปั่นต้านลม...สุดแสนทรมาน
ทั้งหนาว..ทั้งเหนื่อย...ทั้งหิวครับ ...แต่พอนึกถึงโดม..ผมหายเหนื่อยเลยครับ

วันที่ 19/02/2555 ผมเบื่อเส้นทางเดิมที่ปั่นมา 2 วันแล้ว...ผมเปลี่ยนเส้นทางใหม่
เส้นทางใหม่เป็นเส้นทางที่ผมเคยเทียวไปหาสาวครับ...ตอนขับรถยนต์..ไม่เท่าไหร่
แต่ตอนปั่นจักรยาน..โคตรไกลเลย...กลายเป็นว่าปั่นไป 15 km ครับ
แถมเส้นทางโคตรเปลี่ยวเลย...น่ากลัวสุดๆๆ...เมื่อ 2ปีที่แล้วก็มีคนผูกคอตาย
ผูกคอตายใต้ต้นมะเขื่อครับ..
ด้วยความกลัวทำให้ผมปั่นเร็วขึ้น...เหนื่อยกว่าเดิม...ดีหน่อยกลับมาได้กินไก่กลั่น

อีก 2 วัน ผมจะไม่ได้อยู่กับจักรยาน...ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนแผน
Plan to reduce obesity...ในวันที่ 20-21 /02/2555
1.กินข้าวเย็นตามปกติครับ...ผมไม่อยากเปิดศึก 2 ด้าน
2.กระโดดเชือก 500 ครั้งครับ
3.วิดพื้น 30 ทีครับ

เอาแค่นี้ก่อนครับ..ตามหลักการการวางแผน
เป้าหมายต้องท้าทาย..
ไม่ง่ายเกิน
ไม่ยากเกิน...ต้องเป็นไปได้

อาจมีคนสงสัยว่าแผนการของผมจะประสบผลสำเร็จหรือไม่...
ตอนนี้ผมตอบไม่ได้ครับ...เพราะPlan to reduce obesity ของผม...กำหนด 3 เดือนครับ

ตามหลักการวางแผนนะครับ...
1.กำหนดเวลาให้ชัดเจน
2.วางแผน
3.ปฏิบัติตามแผน
4.ประเมินผล...สำเร็จก็ดีไป
ถ้าล้มเหลว...ก็วางแผนใหม่...ปฏิบัติใหม่..ประเมินใหม่
แต่ส่วนใหญ่...จะล้มเลิกแผนกลางคันมากกว่าครับ...
ซึ่งผมเองก็...เป็นชนกลุ่มใหญ่ครับ

โรคอ้วน:ปัญหาของนักวิชาการสาธารณสุข(อยากหล่อ)

วันนี้ขอเล่าเรื่องความอ้วนนะครับ…ความอ้วนที่อยู่กับผมมานานแสนนาน
ผมเองมีความตั้งใจอยากจะลดความอ้วนมาตลอดตั้งแต่ปี 2549
สมัยนั้นผมเพิ่งเข้าเรียนในคณะสาธารณสุข
ผมมุ่งมั่น...แนวแน่...ออกกำลังโดยการเล่นบาสเกตบอลเกือบทุกวัน
แต่น้ำหนักก็ไม่ลดครับ...และน้ำหนักก็ไม่เพิ่มเช่นกันครับ

ปัจจุบันผมไม่ได้เล่นกีฬาเลย...คำนวณดูน้ำหนักผมจะขนาดไหน
ผมรู้สึกอึดอัด..เหนื่อยง่าย...หายใจหอบ
เป็นดังคำพังเพยที่ว่า...ความรู้ท่วมหัว...เอาตัวไม่รอด...จะเข้ากับชีวิตผมตอนนี้
เพราะเองจบด้านสุขภาพ...มีหน้าที่...สร้างสุขภาวะให้กับพี่น้องประชาชน...


แต่ตัวเองตัวเองกลับอ้วน..สุขภาพไม่ดี





ทำไมต้องอยากลดความอ้วน
คนอ้วนเสี่ยงต่อโรคอะไรบ้าง...
1.โรคความดันโลหิตสูง
2.โรคหัวใจขาดเลือด
3.โรคเบาหวาน
4.โรคนิ่วในถุงน้ำดี
แต่ละโรคล้วนน่ากลัว...รักษายาก...บางโรครักษาไม่หาย...ต้องกินยาตลอดชีวิต
ทุกๆๆคนที่อ้วน....คงอยากลดความอ้วนแล้วนะครับ
ผมก็อยากลดความอ้วนเช่นเดียวกันครับ





วิธีรวย..วิธีผอม
ไม่ว่าจะทำอะไร...ถ้าจะสำเร็จได้...ต้องตั้งเป้าหมายครับ
วิธีการตั้งเป้าหมาย...ต้องเริ่มจากง่ายๆครับ
เริ่มจากกิจกรรมที่เราคิดว่าเราจะทำได้ครับ
และต้องเพิ่มเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆๆ

แผนการของผมมีดังนี้ครับ
ระยะเวลาดำเนินการของผม...17-18-19 กุมภาพันธ์ 2555 ครับ...เอาแค่ 3 วันก่อน
ทุกเย็นผมจะปั่นบทความ..เฮ้ยไม่ใช่...ปั่นจักรยาน 10 Km
อาหารเย็นกินตามปกติครับ...แต่ไม่แตะเครื่องดื่มมึนเมาครับ
สาเหตุที่ไม่ดื่มเครื่องดื่มมึนเมา..เพราะดื่มแล้วเมาครับ...เมาแล้วอยากครับ
อยากแล้วไปหาเนื้อมาทำกับแกล้ม...


เสื้อร้องไห้...ตัวการทำให้ผมอ้วนเลยครับ

ผมบอกแฟนผมว่าผมจะผอม...


แฟนผมเธอพูดว่า...เธอชอบผมเพราะผมอ้วน...จะได้กอดอุ่นๆ
ถ้าวันไหนที่ผมผอม...เธอจะเลิกชอบผม...จะไม่รักผม...และเธอจะกลายเป็นแฟนเก่าผมทันที



“ผมยิ้มและพูดว่ามึงชอบกูเพราะกูอ้วนก็ช่างมึง...แต่แฟนใหม่กูชอบที่กูผอม”
เธอเงียบ..ไม่พูดอะไร..



เธอเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูด...ก็แน่ละเพราะ... “ผมพูดในใจ”

The Butterfly Effect

ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกบอกไว้ว่า หากผีเสื้อตัวหนึ่งกระพือปีกที่ซีกโลกด้านหนึ่งอาจจะทำให้เกิดพายุเฮอริเคนในอีกด้านหนึ่งของโลก คนหลายคนไม่เชื่อ Edie Weiner นักอนาคตวิทยาเล่าตัวอย่างเรื่องหนึ่งว่า “เด็กสาวคนหนึ่งบอกเลิกหนุ่มในมหาวิทยาลัย ทำให้หนุ่มคนนั้นหาทางออกเพื่อแก้แค้นสาวโดยการสร้างเว็บไซต์ที่จัดเร็ตติ้งของบรรดาสาวๆในมหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมากลายเป็น facebook และหลายปีต่อมา facebook ก็สร้างกระแสทำให้คนในตะวันออกกลางลุกฮือขึ้นมาล้มรัฐบาลไปหลายประเทศ เด็กสาวบอกเลิกหนุ่มทำให้เกิดวิกฤตพลังานนำ้มันและความสั่นคลอนทางการเมืองของโลกในเวลาไม่กี่ปีต่อมา”

หลักการเขียนบทความ

จากบทความเรื่อง blog-money-making-ideas ซึ่งผมได้เล่าเกี่ยวกับการทำเงินโดย google adsense
โดยการทำผ่าน blogspot และด้วยประสบการณ์กร้านโลกออนไลน์กว่า 5 ปีของผม
ผมก็เห็นด้วยกับหลักการที่ว่า content is king

content is king ก็คือบทความเป็นหัวใจหลักในการเพิ่มหรือเรียกคนเข้าblogของเรา
และ content ที่ดีต้องใหม่ ต้องสด ต้องซิง...อ่านแล้วต้องดึงดูดด้วย...เรียกว่า Unique content

วันนี้ผมได้หาข้อมูลเพิ่มครับ...เป็นข้อมูลที่ต้องทำทุกครั้ง...ที่จะลงมือเขียนบทความครับ
1.การตั้งหัวข้อต้องสั้นเรียบง่าย...เข้าใจง่าย...อ่านแล้วเข้าใจเนื้อหารวมๆๆของบทความ
2.ในส่วนของ Description และ Meta Tags ควรใส่kewords
3.ต้องมีการpingทุกครั้ง....อันนี้ผมทำไม่เป็น

google adsense Exercise



สวัสดีวันแห่งความรักครับ...ขอให้ทุกคนสมหวังในรักนะครับ

วันนี้ผมมีเรื่องเล่าให้เพื่อนๆฟังอีกแล้วครับ...เป็นเรื่องที่มันแวบเข้ามาในหัวผม

แวบเข้ามาช่วงที่ผมกับกำลังหัดเล่นกีต้าร์ครับ...ผมกำลังหัดเล่นเพลง เบา เบา

ผมหัดเล่นกีต้าร์ตามขั้นตอนที่เหล่าเทพกีต้าร์แนะนำครับ...เขาแนะนำผมดังนี้


1.หัดดีดลงทีละสาย...เสร็จแล้วหัดดีดขึ้นทีละสาย

2.หัดจับคอร์ด E แล้วดีลงอย่างเดียว...ได้แล้วหัดดีดขึ้น

3.หัดดีดขึ้น-ลง ขึ้น ลง

4.หัดเปลี่ยนคอร์ดครับ...ดีดลงอย่างเดียวแต่เปลี่ยนคอร์ดให้ทันจังหวะ


พอผมหัดจนครบกระบวนท่าแล้ว...ผมดีดเป็นเพลงได้แล้ว...ผมสงสัยทำไมกูไม่หัดดีดเป็นจังหวะตั้งแต่ทีแรกว่ะ


ผมคิดว่านะครับสมองเรามันพัฒนา มันปรับตัวให้เราอยากทำในสิ่งที่เราอยากทำอยู่แล้ว...ถ้าผมหัดกีต้าร์โดยการ...จับคอร์ดดีดเป็นจังหวะเลย...สุดท้ายผมก้เล่นเป็นอยู่ดี...แต่จุดสำคัญก็คงอยู่ที่ว่าผมจะหยุดเล่นก่อนหรือไม่เพราะมันยากและเครียด


ก็เปรียบกับการทำ google adsense หากต้องรอให้รู้เรื่อง SEO ต้องหาkeyword แล้วค่อยมาเขียนบทความ...ผมอาจเหนื่อยและท้อไปก่อนก็ได้ครับ




หัวใจในการทำ google adsense มีดังนี้ครับ


1.keyword ต้องkeyword ที่มีคนค้นหา..และมีคู่แข่งน้อย

2.ต้องทำrankingให้ได้อันดับดีๆๆ วิธีการทำ ก็ได้แก่การ ping ฝากลิงค์

3.บทความ..ต้องเป็นบทความที่...unique content..ดังที่กล่าวแล้วในบทความ


ดังคำคมที่ว่า "ไม่เริ่มเดิน เมื่อไหร่จะถึง"

ผมจึงออกเริ่มเดินด้วยการคิดค้น google adsense Exercise ครับ

google adsense Exercise ที่ผมคิด...ของเริ่มจากง่ายๆๆไปหายากก่อนนะครับ

คือเริ่มจากการหาอะไรก็ได้ที่อยากเล่ามาเล่าใน blog นี้ วันละ 1 โพสพอ

ซึ่งผมจะใช้เวลาในการทำ google adsense Exercise เป็นเวลา 1 เดือนครับ

แล้วผมจึงจะเริ่มคิดค้นหา google adsense Exercise ที่ 2

how to make money with AdSense



อีกหนึ่งเรื่องที่อยากจะเล่าครับ...ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการหาเงิน..
หารายได้จากการทำblogครับ...ซึ่งผมเน้นที่การทำblogฟรีครับ...คือblogspotครับ
การหาเงินจากการทำblog…จากblogspot….นั้นมีหลายวิธีมากมายครับ
แต่ตอนนี้ผมสนใจเฉพาะ... AdSenseของgoogleเท่านั้นครับ
หลายท่านอาจสงสัยว่า AdSense คืออะไร...ผมขออธิบายคร่าวๆดังนี้ครับ
สมมุติผมทำร้านอาหารในจังหวัดเชียงใหม่...ผมต้องการโปรโมทร้าน..
อยากให้คนรู้จักร้านผมเยอะๆๆ
ผมมองว่าคนที่จะมาเที่ยวเชียงใหม่...ก่อนมาเข้าต้องหาข้อมูลก่อน
โดยหาจากgoogle…ดังนั้นผมจึงขอให้googleช่วยโปรโมทร้านให้ผม
Google ...ก็จะเอาโฆษณาของผมไปติดไว้ตามblogspot...
ซึ่งเป็นblogที่เขียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเชียงใหม่...
ซึ่งแน่นอนต้องมีเรื่องของร้านอาหารด้วย
ทีนี้การหาเงินโดยการทำ AdSense มันมีอุปสรรคอะไรบ้างครับ
ผมหาอุปสรรคในการหาเงินโดยการทำ AdSenseได้ดังนี้ครับ
1.คู่แข่งก็เยอะขึ้นทุกวัน
2.ถ้าอยากทำให้ได้เงินเยอะจริงๆก็ต้องทำblogภาษาอังกฤษ...แต่ผมอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกครับ

การหาเงินจาก Google AdSense นั้นหลักการที่ผมเข้าใจว่าสำคัญที่สุดก็คือ
บทความ

บทความต้องใหม่...ต้องสดไม่ซ้ำใครครับ...เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า... unique
แนวความคิดในการทำ Google AdSense โดยการหาบทความที่ unique มี 2 แนวครับ
แนวที่ 1 บทความนั้นต้อง unique สุดๆๆ เมื่อเราและคนอื่นได้อ่านบทความนี้แล้วต้องประทับใจ..ต้องบอกต่อ...แล้วบทความนี้จะ Rankingเองครับ...ซึ่งแนะนอนต้องใช้เวลาเยอะมากในการเขียนบทความประเภทนี้
แนวที่ 2 บทความนั้น unique นิดหน่อย...คือก๊อบมาบ้าง...ปรับแต่งบ้าง...การทำตามแนวความคิดนี้จะใช้เวลาต่อบทความน้อย...แต่จำเป็นต้องทำหลายๆblogครับ

ซึ่งใครชอบแบบไหนก็ทำตามที่เราชอบเราถนัดครับ...เพราะเราแต่ละคนล้วนมีจุดอ่อน..จุดแข็งที่ต่างกันครับ...สำคัญคือเราดึงจุดแข็งของเรามาเป็นจุดขายได้หรือไม่เท่านั้น

blogกับการสร้างรายได้







วันนี้ผมมีเรื่องจะเล่าครับ...เล่าเกี่ยวกับแวบความคิด...แวบความรู้สึกของผมครับ
เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ...ผมเริ่มเล่นblogมาก็นับเวลาได้ 3-5 ปีแล้วครับ
สาเหตุที่ผมเล่นblogเพราะผมสงสัยว่าblogสามารถทำเงินให้ผมได้จริงหรือไม่
และ ณ เวลานี้ผมก็ยังไม่หายสงสัยครับ
เพราะblogของผมยังไม่ทำเงินให้ผมเลยสักบาทเดียว

บทความนี้..หมายถึงบทความนี้จริงๆ..ผมมุ่งมั่นที่จะเขียนเกี่ยวกับแวบความคิดที่จะใช้ทำบล็อกเพื่อสร้างรายได้ ผมต้องการรายได้เพิ่ม เดือนละ 5,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น และผมไม่ได้คิดจะลาออกจากงานเพื่อที่จะมาทำบล็อก

เริ่มแรกที่ผมได้รับข้อมูล..หรือข่าว..ที่ว่าblog สร้างรายได้ให้คนเล่นได้ ผมตื่นเต้นดีใจ...จนขนหัวลุก
ผมรีบหาข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับวิธีการ...ทางลัดที่จะได้เงินจากblogให้เร็วที่สุด...

ผมหาข้อมูลได้ดังนี้ครับว่ารายได้จากblog นั้นจะเกิดก็ต่อเมื่อ blog เราขึ้นอับดับ 1 ของgoogle
วิธีที่จะทำให้blogขึ้นหน้า 1 ของgoogle เรียกว่า seo ครับ
หลักการ..วิธีการทำ seo ผมยังไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ครับ
แต่เวลานี้ผมสรุปได้ดังนี้ครับว่า..หัวใจของseo จริงๆๆนั้นคือ บทความ ครับ
ต้องหาบทความมาโพสลงblogทุกวัน..วันละ 1-2 blogครับ
ส่วนการping ..การฝากลิงค์ก็สำคัญครับ...แต่หากไร้ซึ่งบทความแล้ว...blogนั้นก็ไร้ค่าครับ
สรุปหลักการสำคัญอันดับ 1 ของการทำ seo แบบเท่ๆเป็นภาษาอังกฤษว่า .. Content is king

หลักการ seo ที่ว่า Content is king เป็นหลักการที่ใครๆที่อยากทำเงินกับblog นั้นรู้ทุกคนแหละครับ
แต่จากประสบการณ์การจริงของผมเกี่ยวกับการทำblogมา 3-5 ปี(ยังไม่มีรายได้จากblog)
ปัญหาคือ..ไม่รู้จะหาบทความจากไหนมาโพส...
ถ้าไปcocyบทความคนอื่นมาก็ไม่ดี…มันไม่ใหม่ ...googleไม่ชอบ
ถ้าจะเขียนเองก็ไม่รู้จะเขียนอะไรนึกไม่ออก...ต่อให้นึกออกก็ไม่รู้จะเขียนยังไงให้googleชอบ

หลังวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้เจอเพื่อนเก่าๆสมัยมัธยมต้น...ผมโม้เรื่องต่างๆนา นา ให้เพื่อนผมฟัง
ผมไม่ได้โม้ฝ่ายเดียว...เพื่อนผมก็โม้ให้ผมฟังด้วย...โม้ไปโม้มาหมดเรื่องจะโม้ครับ

ที่หมดเรื่องโม้ก็เพราะสาเหตุที่ว่า...ลืมเรื่องต่างๆที่เราประทับใจ ...เราอยากเล่าให้เพื่อนฟัง
ความคิดผมแวบเข้ามาให้หัวพอดี...ว่าทำไมไม่จดว่าเราอยากโม้อะไรให้เพื่อนฟัง...
อยากเล่าเรื่องราวที่ประทับใจ...เรื่องสนุกๆๆ...ก็เอามาโพสลงblog...

ดังนั้นเรื่องที่เราจะโพสลงblog..เราก็ไม่ต้องไปกลุ้มใจหรือหนักใจอะไร...
เพียงแต่วันๆหนึ่งเราอยากเล่าอะไรให้เพื่อนว่า...ก็เอามาเล่าในblogนี้
เท่านี้ก็ได้บทความที่ใหม่..สด...ไม่ซ้ำใครมาโพสที่ blogวันละ 1 โพสแล้วครับ


หาเงินจากblogมันง่ายอย่างนี้เอง..โคตรง่ายเลย

บังเอิญจำเจซ้ำซาก

เรื่องบังเอิญของผมวันนี้...บังเอิญที่ได้ไปอ่านเจอบทความ..ที่บังเอิญเข้ากับชีวิตผมตอนนี้...
ยังครับยังไม่จบบเรื่องของบังเอิญ...คือผมบังเอิญได้ใช้เน็ต..และบังเอิญหัวหน้าผมไม่อยู่...สุดท้ายของบังเอิญคือผมบังเอิญโพสบทความนี้ครับ

ใครๆ ก็อยากมีความคิดสร้างสรรค์กันทั้งนั้น เพราะบ่อยครั้งที่ไอเดียสุดครีเอทสามารถสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับงานที่ทำอยู่ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า กิจวัตรจำเจในช่วงเริ่มต้นวันใหม่ อาจทำลายบรรยากาศดีๆ ที่เอื้อให้ต่อมสร้างสรรค์ทำงาน
"ไทม์" ระบุว่า คนส่วนใหญ่มักมีวัตรปฏิบัติแบบเดิมๆ ทุกวัน ตั้งแต่นาฬิกาปลุกตอนเช้า ผู้คนจะกระเด้งออกจากที่นอน อาบน้ำอย่างรีบเร่ง แต่งตัวด้วยความเร็วแบบไฮสปีด และออกจากบ้านไปแบบไม่เหลือเวลาให้คิดอะไร
ขณะที่การเดินทางฝ่ารถติดก่อให้เกิดความเครียด ความดันเลือดเพิ่มขึ้น กระทั่งถึงออฟฟิศก็หยิบหนังสือพิมพ์มาอัพเดทสถานการณ์ บ่อยครั้งที่ข้อมูลข่าวสารก่อให้เกิดความรู้สึกหดหู่และจิตตกตามมา จากนั้นจิบกาแฟร้อนสักแก้ว ก่อนเริ่มต้นทำงาน
พฤติกรรมจำเจแบบนี้ไม่ได้เอื้อให้เกิดไอเดียใหม่ๆ โดยผลการศึกษาหลายชิ้นพบว่า พฤติกรรมที่ผู้คนกระทำในตอนเช้ามีส่วนทำลายบรรยากาศที่เอื้อต่อความคิดที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น โดยเฉพาะอาการกระหืดกระหอบหลังตื่นนอน
ผลการศึกษาของ 2 นักวิจัย "มาริเก้ เวต" และ "โรส แซคส์"ที่ตีพิมพ์ในวารสาร "ธิงค์กิ้ง แอนด์ รีซันนิ่ง" เมื่อปีที่แล้ว ระบุว่า จินตนาการมักจะเกิดขึ้นในยามที่เราไม่ได้โฟกัสที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง กระบวนการทางจิต ที่คอยยับยั้งเรื่องกวนใจ หรือความคิดที่ไม่เกี่ยวข้อง จะทำงานน้อยที่สุดในช่วงเวลานั้น เปิดทางให้สมองนึกเรื่องที่ไม่ได้คาดคิด และบางครั้ง อาจก่อให้เกิดความคิดที่เชื่อมโยงโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับคนที่นอนสะลึมสะลือ จะมีโฟกัสกับสิ่งที่สนใจพร่าเลือนมากกว่า
ลักษณะเช่นนี้ ทำให้เกิดการค้นหาเครือข่ายความรู้ และนำไปสู่ความพยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีสร้างสรรค์ แต่หากเราไม่เปิดจังหวะให้ตัวเองได้ปรับจูนจิตใจที่วกวน เราก็อาจพลาดโอกาสที่จะค้นพบทางออกที่น่าประหลาดใจ
ขณะที่การเดินทางฝ่าการจราจรที่ติดขัด หรือการเบียดเสียดกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ไม่ได้ช่วยให้ความคิดลื่นไหล เพราะฮอร์โมนความเครียด "คอร์ติซอล" จะเป็นอันตรายกับสารจำพวกไขมันที่ห่อหุ้มเส้นใยประสาท (myelin) ซึ่งจะส่งผลให้ความเร็วในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทลดลง เท่ากับลดโอกาสที่จะเกิดความคิดแบบฉับพลันไปด้วย
ผลวิจัยอีกชิ้นของ "รูบี้ เนดเลอร์" ที่ตีพิมพ์ในวารสาร "ไซโคโลจิคอล ไซอึนซ์" ชี้ว่า เราควรอ่านข่าวสารที่เกิดขึ้นในโลก หลังจากทำงานเสร็จแล้ว เพราะจากการทดลองที่ให้กลุ่มเป้าหมายดูคลิปวิดีโอที่ทำให้รู้สึกเศร้าใจ คนเหล่านี้จะมีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ดูคลิป ที่สร้างเสริมอารมณ์ในเชิงบวก ซึ่งจะมีความยืดหยุ่นทางปัญญามากกว่าความรู้สึกในเชิงลบ
ดังนั้น ในตอนเช้าเราควรปรับพฤติกรรมให้เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์ ตั้งนาฬิกาปลุกให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องเร่งรีบ จากนั้นก็ปล่อยความคิดให้เป็นอิสระ เตรียมกระดาษปากกาไว้ เผื่อนึกอะไรออก แช่ตัวเองในน้ำอุ่นๆ ให้นานขึ้นอีกนิด และหลีกเลี่ยงความคิด ที่มุ่งไปกับงานประจำสักพัก ระหว่างเดินทางพยายามหายใจลึกๆ แทนที่จะเดือดดาลกับสภาพรถติด
เมื่อถึงออฟฟิศ ก็ดื่มกาแฟสักแก้ว เพราะคาเฟอีนจะช่วยให้เราตื่นตัว และช่วยเพิ่มระดับของโดปามีน (dopamine) สารสื่อประสาทที่ช่วยกระตุ้นและทำให้รู้สึกดีเมื่อคิดไอเดียเจ๋งๆ ได้ จากนั้นเปิดคอมพิวเตอร์หาคลิปสนุกๆ มาดู แทนที่จะเสพข่าวอย่างเมามัน ถือเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ โดยไม่ทำลายความช่างคิดด้วยพฤติกรรมจำเจได้

Popular Posts

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

 
Copyright © 2011 toncub | High CTR Blogspot Themes designed by Ali Munandar | Powered by Blogger.Com.
My Zimbio