ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ยาแก้แพ้แบบไม่ง่วงรักษาอาการหวัดได้หรือไม่

ยาแก้แพ้แบบไม่ง่วงรักษาอาการหวัดได้หรือไม่


 เมื่อ 2 - 3 ก่อน ขณะที่ผมท่องเที่ยวในโลกไซเบอร์ ผมได้พบกับคำถามที่น่าสนใจมาก
คำถามนั้นคือ ยาแก้แพ้แบบไม่ง่วง รักษาอาการหวัดได้หรือไม่
ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองเมื่อมีอาการน้ำมูกไหล ผมก็พึ่งยาแก้แพ้แบบไม่ง่วง  มาโดยตลอด

วันนี้พอมีเวลาจึงได้ค้นหาคำตอบให้ผมเอง เพราะผมไม่ชอบยาแก้หวัดกลุ่มที่ทำให้ง่วง
เพราะว่า แม้ไม่รับประทานยา ผมก็แทบจะหลับใน ขณะปฎิบัติงานอยู่เป็นประจำอยู่แล้วครับ

ข้อมูลที่ผมค้นหา ก็เริ่มตั้งแต่อาการ สาเหตุ การรักษาของไข้หวัด ซึ่งพอจะสรุปได้สั้นๆดังนี้ครับ

สาเหตุและอาการของไข้หวัด


ไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสที่ทางเดินหายใจส่วนบนเรียก
เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งเมื่อเชื้อเข้าสู่จมูก และคอ จะทำให้เยื่อบุจมูกบวมแดง
และมีการหลั่งสารหลั่งที่เป็นเมือกออกมา
 แม้ว่าโรคจะหายเองใน 1 สัปดาห์ แต่เป็นโรคที่นำผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด
 โดยเฉลี่ยเด็กจะเป็นไข้หวัดปีละ 6-12 ครั้งต่อปี  ผู้ใหญ่อาจจะเป็น 2-4 ครั้งต่อปี
ผู้หญิงจะเป็นบ่อยเนื่องจากใกล้ชิดกับเด็กมากกว่า และคนสูงอายุจะเป็นปีละครั้ง

ผู้ใหญ่จะมีอาการจาม น้ำมูกไหลมาก่อน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย แต่มักจะไม่ค่อยมีไข้
 เชื้อจะออกจากทางเดินหายใจของผู้ป่วย 2-3 ชั่วโมง และหมดภายใน 2 สัปดาห์
บางรายมีอาการปวดหู เยื่อแก้หูมีเลือดคั่ง บางรายมีเยื่อบุตาอักเสบ เจ็บคอกลืนลำบาก
โรคมักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน แต่อาจจะมีน้ำมูกไหลนานถึง 2 สัปดาห์
ในเด็กอาจจะรุนแรง และมักจะกลายเป็นหลอดลมอักเสบ และปอดบวม

ยาที่ใช้รักษาไข้หวัด


โดยทั่วไปยาที่ใช้เมื่อเป็นหวัดจะเป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาตามอาการ เนื่องจากไม่มีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสก่อโรคโดยตรง
 ดังนั้นจึงควรพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย  ยาที่นิยมใช้ทั่วไปเมื่อเป็นหวัดมีดังนี้

1. ยาลดไข้ paracetamol

 สำหรับผู้ใหญ่ รับประทานยาขนาด 500 mg ต่อเม็ด จำนวน 1-2 เม็ด สามารถรับประทานซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ใช้ไม่เกิน 8 เม็ดต่อวัน
 และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน

2. ยาลดน้ำมูกแก้คัดจมูก  ซึ่งสามารถแยกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 

   2.1 ยาแก้คัดจมูก ออกฤทธิ์โดยการหดหลอดเลือด ทำให้อาการคัดจมูกลดลง สำหรับรับประทาน ได้แก่ phenylephrine, pseudoephedrine (pseudoephedrine แพทย์สั่งเท่านั้น)
สาเหตุและอาการของภูมิแพ้
  2.2 ยาลดน้ำมูก ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งผลของฮีสตามีน (histamine) ซึ่งมีผลทำให้การหลั่งน้ำมูกลดลง แต่จะได้ผลน้อยกับอาการคัดจมูก สามารถแบ่งย่อย เป็น 2 กลุ่มคือ
        1) ยาลดน้ำมูกกลุ่มที่ทำให้เกิดอาการง่วงซึม ได้แก่ chlorpheniramine, brompheniramine, hydroxyzine, cyproheptadine เป็นต้น ยากลุ่มนี้จะลดปริมาณสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ
ยาในกลุ่มนี้สามารถคุมอาการได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับยาในกลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วงซึม
        2) ยาลดน้ำมูกกลุ่มที่ไม่ทำให้เกิดอาการง่วงซึม ได้แก่ cetirizine, loratadine, desloratadine, fexofenadine เป็นต้น ซึ่งข้อดีของยาในกลุ่มนี้ก็คือ ไม่ทำให้เกิดอาการง่วงซึม

3.ยาบรรเทาอาการไอ 

   ซึ่งอาจเป็นยาแก้ไอแบบมีเสมหะหรือไม่มีเสมหะ แล้วแต่อาการ แต่ที่นิยมจะเป็นยาแก้ไอแผนไทย จำพวก ยาแก้ไอมะขามป้อม หรือ ยาอมมะแว้ง

   จากข้อมู]ไข้หวัดดังกล่าวจึงพอจะสรุปได้ว่า การรักษาอาการไข้หวัด เป็นการรักษาตามอาการ ซึ่งหากผู้ป่วยมีน้ำมูกไหลแต่ไม่คัดจมูกมากก็สามารถเลือกใช้ยาในกลุ่มแก้แพ้แบบไม่ง่วงได้เช่นกัน

computer vision syndrome โรคของคนรุ่นใหม่

 
 
 ในวันหนึ่งๆของผมมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นปัจจัยที่ 6 ในการดำรงชีวิต  เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้า ผมต้องตรวจดูไลน์ว่าแฟนส่งข้อความมาหรือไม่ เจ้านายสั่งงานอะไรไว้ไหม  จนมาถึงที่ทำงานก็ทำงานผ่านจอคอมพิวเตอร์ตลอดช่วงเวลา 8.00 น. - 16.30 น.
หากชีวิตผมต้องดำเนินไปในลักษณะนี้คงทำให้ดวงตาผมเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันสมควรแน่นอน  และในไม่ช้าผมคงต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรค Computer Vision Syndrome

โรค Computer Vision Syndrome  มีอาการอย่างไร 

โรค computer vision syndrome คือกลุ่มอาการทางตา ซึ่งประกอบด้วยอาการต่าง ๆ ดังนี้
1)อาการปวดตา หรือ เมื่อยตา (Eye Strain, Tired Eye)
2)ปัญหาเคืองตา แสบตา (Ocular Surface Problems)
3)ตามัว (Blurred Vision)
4)มองเห็นภาพซ้อน(Double Vision)

แล้วสามารถป้องกันการเกิดโรค computer vision syndrome ได้ดังนี้ครับ 

1.จัดตำแหน่งการทำงานให้เหมาะสม ไม่ให้แสงแดดจากหน้าต่างส่องเข้าตาโดยตรง
2.ใช้หลัก 20 - 20 -20 8nv ทุก ๆ 20 นาทีควรพักสายตาจากคอมพิวเตอร์ 20 วินาที และมองสิ่งสบายตาห่างออไป 20 ฟุต
3.กระพริบตา 10 - 15 ครั้งต่อวินาที หรือ หลับตาพัก 3 - 5 วินาทีบบ่อย ๆ
4.ปรับแสงสะท้อนหน้าจอดคอมพิวเตอร์ใหเเหมาะสม
5.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

ผักผลไม้ที่ช่วยบำรุงสายตา ซึ่งคนที่เป็นโรค Computer Vision Syndrome ควรรับประทาน 

ผักบุ้ง : ผักบุ้งช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?

 ผักบุ้งช่วยบำรุงสายตา ไม่ทำให้ปวดตา สายตาสั้น แสบตา  จากผักบุ้ง ก็ต้องกินผักบุ้งดิบ ทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า-แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย นอกจากวิตามินแล้ว ผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด
การรับประทานผักบุ้ง หากผัดควรใส่น้ำมันให้น้อย แต่ถ้าลวดกินก็จะดีกว่าเพราะไม่มีน้ำมันซึ่งจะทำให้อ้วนได้ หากทานดิบก็ยิ่งจะมีประโยชน์มาก ทานกับขนมจีนอร่อยอย่างบอกใครเชียวครับ


แครอท : แครอทช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?

    แครอทมีสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุดในบรรดาผักสีส้ม นอกจากนี้มันก็ยังมีไวตามินและแร่ธาตุอื่นอีกหลายชนิด เบต้าแครอทีนก็คือ ไวตามินเอ ซึ่งช่วยในการบำรุงรักษาดวงตาเพราะมันมีผลต่อปฏิกริยาเคมีของดวงตาต่อแสง ไวตามินเอยังช่วยให้มีผิวที่ดีอีกด้วย และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆเช่นมะเร็งได้ดี


ตำลึง : ตำลึงช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?

       ตำลึงเป็นผักที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มีหัวใต้ดิน มีคุณค่าทางอาหารสูง ตำลึงเป็นพืชที่มีบีตาแคโรทีนที่ดีที่สุด บีตาแคโรทีนเป็นสารกลุ่มคาโรทีนอยด์ทำหน้าที่กรองแสงให้กับดวงตา ป้องกันไฟเบอร์ของเลนส์ตาจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกออกซิไดซ์ด้วยแสง ป้องกันการเกิดต้อ บีตาแคโรทีนเป็นสารที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ จัดเป็นสารกลุ่มคาโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานดีที่สุด ดังนั้น ที่กล่าวกันว่า "ตำลึงบำรุงสายตา" ก็เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง บีตาแคโรทีนเป็นสารต้านออกซิเดชันลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกาย ยับยั้งการทำลายของออกซิเจนเดี่ยวและอนุมูลเปอรอกซิลอิสระ นอกจากนั้นตำลึงยังสามารถลดอัตราเสี่ยงของการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้


ผักคะน้า : ผักคะน้าช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?

 คะน้ามีสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินซีและเบต้า-แคโรทีน ซึ่งร่างการจะเปล่ยนเป็นวิตามินเอที่มีผลต่อการบำรุงสายตา เสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณและต้านทานการติดเชื้อ


ฝักทอง : ฝักทองช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?

 ฝักทอง มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ ระบบย่อยอาหาร บำรุงตับไต สร้างเซลล์ใหม่แทนเซลล์เก่าที่ตายไปแล้ว มีสารลูทีนป้องกันการเสื่อมของจุดหรือแสงสีของเรตินามีวิตามินเอ
บำรุงสายตามีเบตาแคโรทีนซึ่งมีสาร Antioxidant สูงจึงช่วยต้านมะเร็งได้อีกด้วย

มะม่วงสุก : มะม่วงสุกช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?

 เนื่องจากมะม่วงอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส ใยอาหาร ช่วยบำรุงสายตา บำรุงเหงือกและฟัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดสิวและริ้วรอยก่อนวัยได้อย่างดี

มะละกอ : มะละกอสุกช่วยบำรุงสายตาได้อย่างไร?

 มะละกอ อุดมด้วยวิตามินเอ บี1 บี2 แคลเซียม และเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ รับประทานบำรุงผิวพรรณดี ลดริ้วรอยก่อนวัย และบำรุงสายตา รับประทานเป็นผลไม้

Popular Posts

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

 
Copyright © 2011 toncub | High CTR Blogspot Themes designed by Ali Munandar | Powered by Blogger.Com.
My Zimbio