ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ยากำจัดพยาธิที่ก่อโรค

    
     พยาธิก่อโรคในคนจำแนกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มพยาธิตัวกลม(nematodes) และพยาธิตัวแบน (flatworms) , และ พยาธิใบไม้(trematodes:flukes) ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงวงจรชีวิตและลักษณะการติดต่อของพยาธิ แต่จะกล่าวถึงแต่ยากำจัดพยาธิ

Albendazole (Zentel@)
     เป็นยาที่ออกฤทธิ์ค่อนข้างกว้าง สามารถใช้ได้กับ พยาธิเส้นด้าย พยาธิตัวกลม พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย (Strongyloides) และ พยาธิปากขอ ยานี้สามารถดูดซึมผ่านทางเดินอาหารได้ การดูดซึมจะเพิ่มขึ้นถ้ารับประทานร่วมกับอาหารที่มีไขมันสูง
     อาการไม่พึงประสงค์ การใช้ยาในระยะสั้นเพียง 1-3 วัน จะพบอาการไม่พึงประสงค์เพียงเล็กน้อย เช่น เสียดหน้าอก ท้องเดิน ปวดศรีษะ คลื่นไส้ เป็นต้น สำหรับการใช้ยาในระยะยาว (3 เดือน) อาการอื่นที่อาจพบได้ คือ อาการทางระบบทางเดินอาหาร (คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร) เนื้อตัวเหลือง ผมร่วงผื่นคัน และเม็ดเลือดขาวต่ำ
    ข้อห้ามใช้ ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยโรคตับแข็ง
    ขนาดยา ยานี้ผู้ใหญ่และเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไปใช้ยาขนาดเดียวกัน จะให้รับประทาน 400 มก. ครั้งเดียว ในการถ่ายพยาธิไส้เดือน พยาธิแส้ม้า พยาธิปากขอ ถ้าในกรณีพยาธิเข็มหมุด อาจให้รับประทานซ้ำอีกครั้งใน 2 สัปดาห์ ถ้าใช้ในการถ่ายพยาธิเส้นด้าย(Strongyloides) ให้ทานครั้งละ 400 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 7-14 วัน

Mebendazole (Benda@, Fugacar@)
     Mebendazole สามารถใช้ได้กับพยาธิตัวกลมทั้ง 5 ชนิด ยาชนิดนี้ จะดูดซึมได้น้อยในทางเดินอาหาร การรับประทานยานี้ร่วมกับอาหารที่มีไขมันสูงจะช่วยให้การดูดซึมของยาสูงขึ้น Mebendazole จะออกฤทธิ์โดยทำให้การดูดซึม glucose ของพยาธิผิดไป ทำให้พยาธิค่อยๆ ตายแล้วจึงขับออกจากร่างกายใน 2-3 วันหลังการใช้ยา

     อาการไม่พึงประสงค์ การใช้ mebendazoleในขนาดต่ำ เป็นเวลา 1-3 วัน สำหรับพยาธิในทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการอันไม่พึงประสงค์เพียงเล็กน้อย เช่น คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน ปวดท้อง การใช้ยาในขนาดสูงอาจทำให้เกิดผื่นคัน มีปริมาณ eosinophil เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ปริมาณ eosinophil ลดต่ำลง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ มีไข้
    ข้อห้ามใช้หรือข้อควรระวัง ห้ามใช้ในสตรีตั้งครรภ์ในช่วง 3 เดือนแรก ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากอาจทำให้เด็กชักได้
     ขนาดยา ยานี้ผู้ใหญ่และเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไปใช้ยาขนาดเดียวกัน
     พยาธิเข็มหมุดรับประทานครั้งละ 100 มก. ครั้งเดียว ควรซ้ำอีกครั้งใน 2 สัปดาห์
     พยาธิปากขอ, พยาธิแส้ม้า, พยาธิไส้เดือนกลม รับประทาน 500 มก. ครั้งเดียว หรือ 100 มก. เช้า-เย็น 3 วัน (ให้ซ้ำอีกรอบ หากยังพบไข่พยาธิในอุจจาระใน 3-4 สัปดาห์)

Praziquantel (Biltricide@)
     มีฤทธิ์ต่อกลุ่มพยาธิตัวตืดและพยาธิใบไม้ พยาธิที่ไวต่อยาจะเป็นอัมพาตแบบหดเกร็งเมื่อโดนยาที่มีความเข้มข้นต่ำ ส่วนที่ความเข้มข้นสูง ยาทำลายผิวพยาธิซึ่งจะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำลายพยาธิ ในระดับเซลล์พบว่ายาทำให้การผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ของอิออนต่างๆ ผิดปกติไป
     ประโยชน์ในการรักษาและขนาดที่ใช้ ขนาดรับประทานครั้งเดียว 10-20 มก./กก. กำจัดพยาธิตัวตืดได้หลายชนิด เช่น พยาธิตืดหมู ตืดวัว ตืดปลา ตืดสุนัข แต่พยาธิตืดแคระ ต้องใช้ยาขนาดสูงขึ้น (25 มก./กก.) พยาธิใบไม้ต่างๆ (ยกเว้นพยาธิใบไม้ในปอด) ใช้ Praziquantel ขนาด 20-25 มก./กก. วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 1 วัน หรือ 40-50 มก./กก. ครั้งเดียว ส่วนพยาธิใบไม้ในปอดต้องใช้ยาเป็นเวลา 2 วัน
    อาการไม่พึงประสงค์ ปวดท้อง คลื่นไส้ ปวดศรีษะ วิงเวียน กรณีที่รับประทานยาแบบครั้งเดียว ควรรับประทานยาหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอน เพื่อลดอาการข้างเคียง นอกจากนี้ยังพบอาการไข้ ผื่นคัน ลมพิษ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ได้บ้าง

Niclosamide (Yomesan@)
     เป็นยาที่ใช้รักษาพยาธิตัวตืดเกือบทุกชนิด ยานี้จะถูกดูดซึมผ่านทางเดินอาหารน้อยมาก
     อาการไม่พึงประสงค์ เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน และปั่นป่วนในช่องท้อง ส่วนอาการปวดท้อง ผื่นคัน ลมพิษและวิงเวียน อาจพบได้บ้าง จากการที่มีการปลดปล่อย antigen ออกจากพยาธิ
     ข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ ในวันที่รับประทานยาและหลังจากนั้นอีก 1 วัน ยาไม่มีผลต่อไข่ของพยาธิ ดังนั้นในกรณีของพยาธิตืดหมู จึงเลือกรักษาด้วยยา Praziquantel เพื่อป้องกันการเกิด Cysticercosis แต่ถ้าใช้ Niclosamide ต้องใช้ยาระบาย ตามภายใน 1-2 ชม. เพื่อให้การขับพยาธิออกจากร่างกายเร็วขึ้น ก่อนที่ไข่จะถูกปล่อยออกจากพยาธิที่ตายแล้วสู่ทางเดินอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และสตรีมีครรภ์
     ประโยชน์ที่ใช้ในการรักษา ใช้รักษาพยาธิตัวตืดแทบทุกชนิด โดยใช้ยาขนาดเดียว คือ 2 กรัม ต้องเคี้ยวก่อนกลืน และดื่มน้ำตามเล็กน้อย
************************************************************************************************
เอกสารอ้างอิง
1. ศราวุฒิ อู่พุฒินันท์ และอภินันท์ สิริรัตนาธร. เภสัชวิทยาเล่ม 2. “ เคมีบำบัด ” ภาควิชาเภสัชกรรมปฏิบัติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. หน้า 49-54.
2. สมใจ นครชัย. เภสัชวิทยาเล่ม 2. “ ยากำจัดพยาธิ ” ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. หน้า 290-297.

วิธีแก้ไอ


  ช่วงเวลาปลายเดือนเมษายน ถึง เดือนมิถุนายน เป็นช่วงที่ฝนตกบ้างไม่ตกบ้าง
และสิ่งที่ตามมาจากภาวะที่เรียกว่า อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย การคือ อาการไอ แคร่กๆ
อาการที่ไม่ใช่ การไอจากอาการแฝงขอโรค แม้จะไม่อันตรายมาก รักษาโดยการกินยา
แต่แม้ว่าจะกินยาแก้ไอ ถูกขนาด ถูกชนิด ถูกทาง ถูกเวลา และถูกต้อง
แต่หากพฤติกรรมระหว่างวันไม่เหมาะสมแล้ว อาการไอก็จะตามรังครานท่าน
ดังนั้นแล้วนอกจากรับประทานยาที่ถูกชนิด ถูกโรคแล้ว เราต้องมีการปฏิบัติตัวที่ดีด้วย

     เมื่อท่านมีอาการไอ แคร่กๆ สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง และสำคัญมากๆมีดังนี้ครับ
         1.ดื่มน้ำ(ไม่เย็น)สม่ำเสมออย่างน้อยที่สุด 8 แก้ว
         2.กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดครั้งละ 1 นาทีวันละ 3 ครั้ง
         3.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
เพราะทั้งแอลกอฮอล์และคาเฟอีนมีคุณสมบัติขับปัสสาวะทำให้สูญเสียน้ำ
         4.หลีกเลี่ยงควันบุหรี่  ฝุ่น และอากาศที่เย็น
         5.พักผ่อนให้เพียงพอ

     การปฎิบัติตัวที่ถูกต้องจะทำให้อาการไอหายได้เร็วยิ่งขึ้น 

ยาหยอดตา

    
     มีคำกล่าวที่ว่า "ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ"  จากคำกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า ตามีความสำคัญมาก
ดังนั้นแล้ว ยาหยอดตา ก็เป็นยาที่สำคัญต่อชีวิตของคนที่สุดเช่นกัน
คำถามที่ว่า  ยาหยอดตา  มีกี่ชนิด มีวิธีใช้อย่างไร
จึงจัดได้ว่าเป็นคำถามที่นักวิชาการสาธารณสุขควรตอบได้เป็นอย่างยิ่ง

     คำถามแรกคือ ยาหยอดตามีกี่ชนิด  อันที่จริงแล้ว ยาที่ใช้กับตา มี 2 ชนิด คือ ยาหยอดตา และยาป้ายตา
ชนิดของยาหยอดตาสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ ยาน้ำใส  ยาน้ำขุ่น  ยาน้ำแขวนตะกอน


หากแบ่งตามคุณสมบัติยาจะแบ่งได้  7 กลุ่ม ได้แก่

- ยาปฏิชีวนะ ใช้กรณีการติดเชื้อแบคทีเรีย  เช่น Poly-Oph
- ยาแก้แพ้ ใช้บรรเทาอาการเคืองหรือคันตา เช่น Hista-Oph,Opsil-A (อาจทำให้ภาวะตาแห้งแย่ลง)
- ยาลดการอักเสบชนิดสเตียรอยด์ ใช้ลดการอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น Dex-Oph

- ยาลดความดันตา 
- น้ำตาเทียม  ใช้บรรเทาอาการเคืองตา เช่นภาวะตาแห้ง ได้ Opsil tears
- ยาขยายม่านตา
- ยาชา  ใช้สำหรับทำหัตการทางตา เช่น การเขี่ยสิ่งแปลกปลอมที่กระจกตา ได้แก่ Tetracaine


     คำถามที่สอง คือ มีวิธีใช้อย่างไร จึงจะปลอดภัย มีประสิทธิภาพในการรักษาและหายจากโรค

     1. ล้างมือให้สะอาด
     2. เปิดฝาขวดยา นอนหรือนั่งเงยหน้าขึ้น
     3. ใช้ปลายนิ้วดึงหนังตาล่างลง ให้เป็นกระพุ้ง และเหลือบตามองด้านบน
     4. หยอดยาตามจำนวนที่กำหนดลงในกระพุ้ง ระวังไม่ให้ปลายหลอดสัมผัสตา ขนตา มือหรือสิ่งใด ๆ
     5. หลับตาประมาณ 1นาที
     6. หากต้องหยอดยาหลายชนิด ควรเว้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 5 นาที
     7. ล้างมือให้สะอาด หลังหยอดยา
สามารถใช้ได้เพียง1 เดือนหลังจากเปิดใช้ครั้งแรก เก็บไว้ในตู้เย็น ห้ามใช้ยาหยอดตาร่วมกับผู้อื่น

คุณอาจสนใจบทความนี้
ตากุ้งยิง

ว่านชักมดลูก

 
 เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เพื่อนของผมซึ่งไม่ได้เจอกันนานหลายปี
ได้นัดเจอผมและเพื่อนๆเผื่อรับประทานอาหารด้วยกัน
ระหว่างรับประทานอาหารผมได้สั่งยำสมุนไพร พร้อมเอยว่า”อาหารเพื่อนสุขภาพ”

หลังจากที่ผมและเพื่อนได้สั่งอาหารเรียบร้อย
เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งได้เอยถามผมเรื่อง อาหารเสริมสำหรับผู้หญิง
ขณะที่ผมกำลังคิดหาคำตอบว่าจะแนะนำอาหารเสริมตัวไหนดี
เพื่อนผู้หญิงอีกคนก็ตอบแทนผมว่า ให้ไปซื้อ ว่านชักมดลูกมากิน
พร้อมบรรยายสรรพคุณว่า กินแล้วผิวพรรรณจะเปล่ง เด้ง ใส

เพื่อนผมคนเดิม คนแรกที่ขอให้ผมแนะนำอาหารเสริมสำหรับผู้หญิง
มองหน้าผมแบบหาเรื่อง พร้อมกล่าวว่า “จริงเหรอ”

วันนั้นผมตอบเพื่อนผมประมาณนี้ครับ
อาหารเสริมสำหรับผู้หญิง หากเป็นยาสมุนไพรไทย
ปัจจุบันก็มีหลายยี่ห้อ หลายสูตร หลายส่วนผสม
สำหรับ ว่านชักมดลูกที่เพื่อนแนะนำน่าจะเป็น ชื่อทางการค้า
โดยนำชื่อยาสมุนไพรตัวหนึ่งมาตั้งเป็นชื่อทางการค้า

ซึ่งโดยทั่วไปแล้วส่วนผสมต่างๆจะแตกต่างกัน บางตัวเท่านั้น
เรียกได้ว่าสูตรใครสูตรมัน
แต่สรรพคุณก็คล้ายกัน หรือจะเรียกว่าเหมือนกันก็ไม่ผิดมากนัก
คือ ช่วยบรรเทาอาการ ประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี
เมื่อเลือดไหลเวียนดีแล้วก็เชื่อว่าผิวพรรณจะเปล่งปลั่ง สดใส มีน้ำมีนวล

ส่วนผสมโดยทั่วไปมีดังนี้
ว่านชักมดลูก ลูกจันทร์ จันทร์ขาว ขมิ้นเครือ ขิงแห้ง กวาวเครือ
เจตมูลเพลิง สมอไทย และอื่นๆอีกมากมาย

อัตราส่วนผสม ก็สูตรใครสูตรมัน

ส่วนคำถามที่ว่ากินแล้วจะผิวพรรณดี สวย ใส จริงหรือไม่

ก็ขอตอบดังนี้ครับ
ในสมุนไพรที่เป็นส่วนผสม เช่น ว่านชักมดลูก,กวาวเครือ เมื่อสกัดแล้วจะมีสาร Phytoestrogens ซึ่งก็คล้ายๆฮอร์โมนเพศหญิง กินแล้วจึงมีสรรพคุณทำให้ผิวพรรณเปล่ง และช่วยปรับประจำเดือนได้อีก



 

Popular Posts

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

 
Copyright © 2011 toncub | High CTR Blogspot Themes designed by Ali Munandar | Powered by Blogger.Com.
My Zimbio