กลยุทธ์ในการส่งเสริมสุขภาพตามกฎออตาวา
มีการนำแนวคิดการส่งเสริมสุขภาพไปประยุกต์ใช้หลายประเทศ  และตั้งแต่ปี 
1995 มีการ
ประชุมเกี่ยวกับแนวคิดนี้หลายครั้งเพื่อให้เกิดแนวทางดำเนินการที่เป็นรูปธรรม   แต่โดยภาพรวมกลยุทธ์การส่งเสริมสุขภาพ
ประกอบด้วย
1)การสร้างนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ (Healthy Public
Policies)  
            2) การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อสุขภาพ
(Create Supportive Environment)  
3)การเสริมสร้างกิจกรรมของชุมชนให้เข้มแข็ง (Strengthen Community
Activities)  
4) การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล
(Development Personal Skills)  
5) การปรับเปลี่ยนบริการสาธารณสุข
(Reoriented Health Service) 
            ดังนั้น    การส่งเสริมสุขภาพจึงมุ่งหวังให้เกิดการมีสุขภาพดีในระดับสูงสุด  โดยจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมส่วนบุคคล  หรือสิ่งแวดล้อมที่บุคคลอาศัยอยู่  
ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมีภาวะสุขภาพคงที่  มีการป้องกันโรคและคงไว้ซึ่งภาวะสุขภาพที่ดีนำมาก่อน  
การส่งเสริมสุขภาพจึงเป็นกระบวนการที่เป็นพลวัตรมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา 
เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าทางสุขภาพและมีความผาสุกเพิ่มมากขึ้น
2.2   แนวคิดการป้องกันโรค ( Disease Prevention)
            การป้องกันโรค  
เป็นการปฏิบัติพฤติกรรมการป้องกันล่วงหน้าก่อนจะมีการเกิดโรค  
โดยส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติเพื่อให้มีสุขภาพดี    แนวทางสำคัญ คือ
การสร้างประสบการณ์ให้เกิดการเรียนรู้ด้านสุขภาพและการเกิดโรคในกลุ่มประชาชน 
ด้วยเหตุนี้แนวคิดการป้องกันโรคและแนวคิดการส่งเสริมสุขภาพ   จึงมักถูกเข้าใจว่าเหมือนกัน   
ซึ่งในความเป็นจริงแนวคิดทั้งสองมีความแตกต่างกัน   ประภาเพ็ญ   
สุวรรณ และคณะ (2538)  กล่าวว่า  การป้องกันโรคมีแนวความคิดหลัก คือ
การป้องกันการเกิดพยาธิสภาพ   
เครื่องบ่งชี้ความสำเร็จ ได้แก่  
การลดอัตราการเกิดโรค  
การลดอัตราตายและภาวะทุพลภาพ     สำหรับการส่งเสริมสุขภาพนั้นมุ่งเน้นให้เกิดภาวะสุขภาพที่ดี  มีความเป็นอยู่ที่ดี มีคุณภาพชีวิต  มีความเป็นตัวของตัวเอง   รู้สึกมีคุณค่า  เคารพตนเองและสามารถควบคุมทรัพยากรได้ด้วยตนเอง
ตามแนวคิดทางวิทยาการระบาด   เชื่อว่าโรคเกิดจากภาวะไม่สมดุลระหว่าง 3 ปัจจัย    ได้แก่ Agent หมายถึง
สิ่งที่ทำให้เกิดโรค    Host หมายถึง บุคคลหรือคน  และ Environment
หมายถึง สิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเกิดโรค  ( Claudia and Frances, 2000)    ซึ่งระดับของการป้องกันแบ่งออกเป็น  3 
ระดับ  (Claudia
and Frances, 2000;   Leavell and Clork,
1958 อ้างใน Janice and Mary , 1997)   มีรายละเอียด ดังนี้
1)      การป้องกันระดับปฐมภูมิ 
(Primary Prevention)  เป็นการป้องกันในขณะ
ที่ยังไม่มีโรคเกิดขึ้น   มีจุดเน้นที่การส่งเสริมสุขภาพโดยทั่วไป (Health promotion) นับเป็นการป้องกันที่สำคัญมาก
เพราะเป็นการเสริมสร้างให้บุคคลมีความแข็งแรงสมบูรณ์  ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ ทางสังคม  อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนงานป้องกันในระดับอื่น
ๆ  ให้ดียิ่งขึ้น 
นอกจากนี้การป้องกันระดับปฐมภูมิยังรวมถึงการปกป้องสุขภาพเฉพาะอย่าง
(Specific  protection)  เพื่อต่อต้านโรคที่อาจจะเกิดขึ้น  เช่น 
การฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิต้านทานโรค  การให้เด็กนักเรียนอมน้ำฟลูออไรด์เพื่อป้องกันโรคฟันผุ 
การแจกเกลือผสมไอโอดีนแก่ชาวบ้านเพื่อป้องกันโรคคอพอก   และการควบคุมพาหะนำโรค
2)      การป้องกันระดับทุติยภูมิ 
(Secondary Prevention)   เป็นการป้องกัน
หลังจากที่มีโรคเกิดขึ้นแล้ว  มีจุดเน้นที่การวินิจฉัยแต่แรกเริ่ม และให้การรักษาทันทีเพื่อหยุดกระบวนการเกิดโรค 
เพื่อให้มีระยะของความรุนแรงของโรคน้อยที่สุด  ป้องกันการแพร่กระจาย และช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วย     
                        3) การป้องกันระดับตติยภูมิ 
(Tertiary  Prevention) ในขั้นนี้ไม่เพียงแต่จะหยุดกระบวนการเกิดโรคเท่านั้น 
แต่รวมไปถึงการป้องกันการเกิดความพิการที่ถาวร 
เพราะเป็นขั้นที่ป่วยมากและมีความพิการเกิดขึ้น  (Stage of disability of advanced
disease)  ในขั้นนี้มุ่งเน้นการลดภาวะแทรกซ้อน
และลดความพิการ  ตลอดจนผลเสียต่าง ๆ     ที่จะตามมาภายหลังการเกิดโรค 
เพื่อให้บุคคลสามารถกลับคืนสู่ความเป็นปกติในระดับหนึ่งเท่าที่จะเป็นไปได้

 
 
 
 
 
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น