ผมเองจบสาธารณสุขศาสตร์ ก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสายวิทย์นะครับ ตามธรรมธรรมดาของเด็กสายวิทย์ย่อมอ่อนภาษาศาสตร์เป็นธรรมดา แต่ผมอาจไม่ธรรมดาเพราะผมอ่อนมาก ถึงมากที่สุดครับ และเมื่อตอนเรียนสาธารณสุขอยู่ปี 1-2 นี้แหละครับ ภาษาอังกฤษเล่นงานชะจนผมเกือบไม่จบสาธารณสุขศาสตร์อย่างใจหวัง ในขณะนั้น(ตอนเรียนสาธารณสุข ปี 2 ) ผมหวังแต่ว่าจะผ่านภาษาอังกฤษไปได้แล้วผมจะสบายไม่เจอกับมันอีก และผมก้ผ่านมาได้ (เพราะปัจจุบันผมจบสาธารณสุขแล้วครับ)
แต่ผมก็หนีภาษาอังกฤษไม่พ้นอยู่ดีครับ จบมาก็เจอแต่ระดับเทพสาธารณสุข พูดแต่ภาษาอังกฤษ จะเรียนโท ก็ต้องอ่านตำราภาษาอังกฤษ เพราะอะไรเหรอครับ เพราะเจ้าของทฤษฎีส่วนใหญ่เป็นคนอังกฤษครับ แม้แต่คนสหรัฐอเมริกาก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เช่น Boyl’s Law ผู้คิดค้นก็เป็นคนอังกฤษครับ
เมื่อก่อนผมคิดว่าผมอ่านหนังสือภาษาไทยก็แย่ละ แค่ทำความเข้าใจตำราภาษาไทยที่มีในบ้านเราผมก็พอแล้ว แต่ปัจจุบันมันติดตรงที่ผมไม่ค่อยเชื่อตำราเหล่านั้นแล้ว เพราะบางครั้งก็เขียนผิด แปลผิด หรือละในส่วนที่ตนเองไม่เข้าใจไว้
สรุปว่าผมคงหนีไม่พ้นแล้วละครับกับภาษาอังกฤษ เมื่อหนีไม่ได้ก็คงต้องสู้ และเดินไปหามันละครับ ใช่ครับผมต้องคนแฟนเป็นคนอังกฤษ เฮ้ย..ไม่ใช่ ผมต้องศึกษาภาษาอังกฤษให้มากกว่าเดิมครับ
ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เล่มไหนผมจำไม่ได้ละ แต่จำเนื้อหาคร่าวๆๆได้ว่า มีพนักานประกันคนหนึ่งที่ทำยอดขายได้มาก เธอหรือเขาได้บอกว่าเขาใช้วิธี จดบันทึกและอ่านมันทุกวันเพื่อที่จะจำรายละเอียดของลูกค้าได้ และจะได้นำเสนอประกันชีวิตรูปแบบที่เหมาะสมกับลูกค้าคนนั้น
จากแนวคิดนี้ผมจึงได้นำมาประยุกต์ใช้ครับ ผมได้ทำการบันทึกเรื่องราวการศึกษาภาษาอังกฤษของนักวิชาการสาธารณสุขรับจ้างที่ เรียนภาษาอังกฤษ ถือได้ว่าเป็นการจัดการความรู้อักรูปแบบหนึ่งครับ เผื่อมีผู้สนใจ
“ใจคนเราแข็งและแกร่งไม่เท่ากันครับ”
แต่ผมก็หนีภาษาอังกฤษไม่พ้นอยู่ดีครับ จบมาก็เจอแต่ระดับเทพสาธารณสุข พูดแต่ภาษาอังกฤษ จะเรียนโท ก็ต้องอ่านตำราภาษาอังกฤษ เพราะอะไรเหรอครับ เพราะเจ้าของทฤษฎีส่วนใหญ่เป็นคนอังกฤษครับ แม้แต่คนสหรัฐอเมริกาก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เช่น Boyl’s Law ผู้คิดค้นก็เป็นคนอังกฤษครับ
เมื่อก่อนผมคิดว่าผมอ่านหนังสือภาษาไทยก็แย่ละ แค่ทำความเข้าใจตำราภาษาไทยที่มีในบ้านเราผมก็พอแล้ว แต่ปัจจุบันมันติดตรงที่ผมไม่ค่อยเชื่อตำราเหล่านั้นแล้ว เพราะบางครั้งก็เขียนผิด แปลผิด หรือละในส่วนที่ตนเองไม่เข้าใจไว้
สรุปว่าผมคงหนีไม่พ้นแล้วละครับกับภาษาอังกฤษ เมื่อหนีไม่ได้ก็คงต้องสู้ และเดินไปหามันละครับ ใช่ครับผมต้องคนแฟนเป็นคนอังกฤษ เฮ้ย..ไม่ใช่ ผมต้องศึกษาภาษาอังกฤษให้มากกว่าเดิมครับ
ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เล่มไหนผมจำไม่ได้ละ แต่จำเนื้อหาคร่าวๆๆได้ว่า มีพนักานประกันคนหนึ่งที่ทำยอดขายได้มาก เธอหรือเขาได้บอกว่าเขาใช้วิธี จดบันทึกและอ่านมันทุกวันเพื่อที่จะจำรายละเอียดของลูกค้าได้ และจะได้นำเสนอประกันชีวิตรูปแบบที่เหมาะสมกับลูกค้าคนนั้น
จากแนวคิดนี้ผมจึงได้นำมาประยุกต์ใช้ครับ ผมได้ทำการบันทึกเรื่องราวการศึกษาภาษาอังกฤษของนักวิชาการสาธารณสุขรับจ้างที่ เรียนภาษาอังกฤษ ถือได้ว่าเป็นการจัดการความรู้อักรูปแบบหนึ่งครับ เผื่อมีผู้สนใจ
“ใจคนเราแข็งและแกร่งไม่เท่ากันครับ”